..........วัดเขาสุกิมเป็นวัดที่โด่งดังและสำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตของตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีไปประมาณ ๒๐ กิโลเมตร
ความเป็นมาของวัดเขาสุกิม
..........เมื่อหลวงปู่สมชายได้บวชเป็นสามเณรแล้วในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านก็ได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร แล้วได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ณ วัดศรีโพนเมือง จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อมีสิริอายุ ๒๑ ปี ๒ เดือน ๖ วัน โดยมีพระเดชพระคุณ เจ้าพระธรรมเจดีย์ (จูม) พันธุโลเถร เป็นพระผู้ทำการอุปัชฌาย์ให้ โดยมีหลวงปู่มั่นทำหน้าที่เป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้
..........หลังจากที่หลวงปู่สมชายได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ สายพระกรรมฐานในบวรพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ได้หมั่นศึกษาประพฤติปฏิบัติธรรมจนเข้าใจพอเป็นที่สมควรแล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อนบ้านเดิมของท่าน ที่จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วนำธรรมะของพุทธองค์นั้นไปโปรดญาติพี่น้องและชาวบ้านแถวนั้น จนญาติพี่น้องและชาวบ้าน ที่เคยนับถือศาสนาฮินดูอยู่ ได้ทราบซึ้งในรสพระธรรมคำสั่งสอนของพระตถาคต แล้วเปลี่ยนหันมานับถือศาสนาพุทธกันจนหมด
..........จากนั้นหลวงปู่ท่านก็เดินทางออกธุดงค์ไปบำเพ็ญสมาธิแสวงหาพุทธิธรรม เพื่อพิสูจน์สัจธรรม ตามที่พระศาสดาได้ทรงสั่งสอนไว้ ณ ภูวัว จังหวัดหนองคาย อันเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ที่เหล่าลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นนิยมมาแสวงหาความสงบวิเวกกันเป็นประจำ
จ.หนองคาย
..........หลวงปู่สมชายท่านได้ท่านได้ออกธุดงค์ไปเกือบทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคอีสานกับทางภาคเหนือของไทย บางครั้งก็เคยธุดงค์เลยออกไปยังประเทศลาวและประเทศพม่าด้วย
..........จนมาครั้งหนึ่งขณะที่ท่านออกธุดงค์แล้วมาพำนักอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่ท่านหนึ่ง ได้นิมนต์เชิงเปรยว่าที่จังหวัดจันทบุรีนั้นมีสถานที่วิเวกเป็นป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์อยู่หลายแห่ง เหมาะแก่การเจริญภาวนาสมาธิ หลวงปู่น่าจะลองเดินทางไปเสาะหาที่ปลีกวิเวกที่จันทบุรีดูบ้างสักครั้ง
หลวงปู่สมชายได้ฟังโยมกล่าวเช่นนั้น ก็ตกลงปลงใจเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีดูสักครั้งเพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรม
..........ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ หลวงปู่สมชายได้พาคณะภิกษุสามเณรออกเดินทางมาจำพรรษา ณ วัดเนินดินแดง ตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี อันเป็นสถานที่ร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จากนั้นหลวงปู่ก็ได้จัดสร้างและการพัฒนาวัดเนินดินแดงให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เป็นวัดแรกที่หลวงปู่ท่านได้พัฒนาเมื่อเดินทางมาพำนักยังจังหวัดจันทบุรี
..........จวบจนเมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้มีญาติโยมมากราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่สมชาย พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรรวม ๙ รูป เพื่อมาเจริญพุทธมนต์ที่หมู่บ้านพลูกระต่อย (ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นบ้านเขาสุกิม) ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
..........เมื่อหลวงปู่สมชายเดินทางมาถึงเพื่อทำการเจริญพุทธมนต์แล้วก็ได้แสดงธรรมเทศนาจนชาวบ้านพลูกระต่อยเกิดศรัทธา จึงได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่สมชาย พร้อมเหล่าพระภิกษุสามเณรที่เดินทางมาพร้อมหลวงปู่ให้ลองขึ้นไปชมบนเขาสุกิม เพราะชาวบ้านเห็นว่าบนเขาสุกิมแห่งนี้เป็นที่เหมาะแก่การปลีกวิเวกเจริญศีลเจริญธรรมสมาธิเป็นอย่างมาก อีกทั้งถ้าหลวงปู่ท่านเลือกบริเวณเขาสุกิมแห่งนี้เป็นที่พำนักแล้วย่อมเป็นมงคลและเป็นที่พึ่งพิงแก่ชาวบ้านได้อีกด้วย
..........เมื่อหลวงปู่สมชายท่านได้ฟังการพรรณาจากปากของชาวบ้านเช่นนั้นแล้ว ท่านจึงตัดสินใจพาพระภิกษุ ๒ รูปกับสามเณรอีก ๒ รูปเดินทางขึ้นไปสำรวจดูบนเขาสุกิม
เมื่อได้เดินทางขึ้นมาพบเห็นด้วยตาตนเองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลวงปู่สมชายท่านก็เห็นว่าบนเขาสุกิมแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเจริญภาวนาสมาธิ ด้วยพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าชื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ มีความเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ดี จึงได้ตกลงเลือกที่จะพำนักเจริญภาวนาสมาธิบนเขาสุกิมแห่งนี้
..........เริ่มแรกเดิมทีหลวงปู่ท่านยังไม่ได้คิดจะมาปักหลักปฏิบัติธรรมบนเขาสุกิมแห่งนี้ตลอดไป เพียงแต่มาปักกลดเจริญภาวนาอยู่ตามโคนต้นไม้ตามหินผาบ้าง เมื่อมาพำนักอยู่หลายเดือนจนแน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับการปฏิบัติธรรม ทั้งหมดจึงได้อยู่ปฏิบัติธรรม ณ เขาสุกิมเป็นเวลานาน
..........มาจนกระทั่งช่วงใกล้เข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลวงปู่สมชายจึงได้ตัดสินใจว่าจะอยู่จำพรรษา ณ บนเขาสุกิมต่อไปหรือไม่ เพราะติดที่ว่าช่วงจำพรรษานั้นเป็นช่วงที่จะมีฝนชุก การบำเพ็ญภาวนาสมาธิจะทำได้ไม่สะดวก อีกทั้งเมืองจันทบุรีก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีฝนตกมากด้วย
..........เมื่อชาวบ้านได้ทราบว่าหลวงปู่ท่านต้องการที่จะอยู่จำพรรษา ณ เขาสุกิมแต่ก็มาติดเรื่องฝน แล้วด้วยความที่อยากให้หลวงปู่ท่านพำนักอยู่ที่นี่และด้วยเกรงว่าพระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญจะได้รับความลำบาก จึงร่วมมือร่วมใจกันเร่งสร้างกุฏิมุงด้วยเปลือกไม้ชั่วคราวถวายแด่ท่านจำนวน ๑๕ หลังพร้อมทั้งหอฉันด้วยอีก ๑ หลัง แล้วในช่วงเข้าพรรษานั้นก็มีพระภิกษุจำพรรษาที่เขาสุกิม ๗ รูปสามเณรอีก ๔ รูป
..........จนผ่านพ้นไป ๒ พรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ได้มีญาติโยมหลั่งไหลมาปฏิบัติธรรมกันมากขึ้นตามลำดับ ด้วยหลวงปู่สมชายนั้นเป็นพระภิกษุที่มีจริยวัตรงดงามเป็นผู้สำรวม ตั้งใจปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรมไม่มีข้อตำหนิ อีกทั้งยังเป็นพระที่เหมาะแก่การเป็นครูบาอาจารย์อรบรมสั่งสอนพระธรรมได้เป็นอย่างดีรูปหนึ่ง สามารถอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้อยู่ในศีลในธรรมตามที่หลวงปู่ได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
..........ชาวบ้านเมื่อเห็นจักรวัตรที่งดงามเช่นนี้แล้วจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่อยากจะเห็นเขาสุกิมแห่งนี้เป็นวัดที่พำนักของหลวงปู่สมชายอย่างสมบูรณ์ จึงได้ริเริ่มที่จะสร้างวัดถวายให้เป็นที่พำนักของหลวงปู่ตลอดไป โดยเริ่มจากมีญาติโยมได้ทำการบริจาคที่ดินจำนวน ๖ ไร่ ๕๐ ตารางวา ถวายแด่หลวงปู่เพื่อใช้ในการสร้างวัด
..........แล้วจากนั้นพุทธศาสนิกชนไม่ว่าจากในจังหวัดจันทบุรีและจากจังหวัดอื่นๆ ก็หลั่งไหลกันมาทำบุญบริจาคเพื่อสร้างวัดเขาสุกิมกันมากมาย รวมทั้งยังมีชาวต่างชาติก็ได้เดดินทางมาปฏิบัติธรรมและร่วมบริจาคสร้างวัดเขาสุกิมแห่งนี้หลายรายด้วยเช่นกัน
..........หลวงปู่สมชายท่านได้พัฒนาทั้งทางธรรมและทางศาสนสถานที่วัดเขาสุกิมแห่งนี้เรื่อยมานับแต่จากวันนั้น จนวัดเขาสุกิมในวันนี้เป็นวัดที่ใหญ่และเจริญมาก แต่ก็ยังคงความร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมเหมือนเช่นเคย
..........ไม่เพียงแต่การพัฒนาสร้างวัดเขาสุกิมเท่านั้น หลวงปู่สมชายท่านยังจัดสร้างศาสนาสมบัติไว้แก่ชนรุ่นหลังได้ศึกษากันมากมาย อาทิเช่น
๑. พระพุทธมงคลมุนีไพรีพินาศศาสดาจารย์องค์ใหญ่ และพระสิวลีศรีสังวาลย์ ซึ่งประดิษฐานไว้ ณ บริเวณทางขึ้นสู่ตัววัด
๒. ตึกธรรมวิจัย ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์สถานซึ่งรวบรวมโบราณวัตถุที่ญาติโยมได้นำมาบริจาคถวายไว้ให้เป็นสมบัติของชาติและพระศาสนา ซึ่งปัจจุบันได้ย้ายของส่วนใหญ่มาเก็บรักษาไว้ที่ชั้น ๓ ของตึก ๖๐ ปีเฉลิมพระเกียรติแล้ว
๓. ตึก ๖๐ ปีเฉลิมพระเกียรติ เป็นอาคารขนาดใหญ่มากที่สร้างเพิ่มขึ้นมาภายหลังตึกธรรมวิจัย สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ โดยตึกแห่งนี้ได้ใช้เป็นตึกที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุ ทั้งพระพุทธรูปโบราณ รูปปฏิมาของเทพเจ้าโบราณ เครื่องปั้นดินเผาโบราณ เครื่องลายคราม เครื่องหยก เครื่องมูก แจกันจีนขนาดใหญ่ เครื่องมือเครื่องใช้ของชาวบ้านในยุคโบราณต่างๆ อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งของพระเกจิอาจารย์สายปฏิบัติหลายรูปด้วย ซึ่งเปิดให้เข้าชมกันได้ทุกวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ โดยที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะจัดแสดงอยู่บนชั้นที่ ๓ และ ๔ ของอาคารแห่งนี้ ส่วนในชั้นที่ ๑ กับ ๒ จะใช้เป็นที่ใช้สอยในส่วนของพระภิกษุสงฆ์
๔. อาคารที่พัก ของผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ซึ่งจะเป็นอาคารนอนรวม มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย เอาไว้ใช้เพื่อให้ผู้ที่มาฏิบัติธรรมได้ใช้พักผ่อนหลับนอนในขณะที่มาบำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรมกันที่วัด
..........นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีสิ่งก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายภายในวัดเขาสุกิมแห่งนี้ที่หลวงปู่สมชายท่านได้สร้างไว้เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อเป็นถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาอีกมากมาย ต้องไปชมด้วยตัวของท่านเองจึงจะดีกว่า เพราะมากมายและสวยงามเกินกว่าผู้เขียนนั้นจะบรรยายได้หมด
..........ไม่เพียงแต่หลวงปู่สมชายท่านจะได้มีการก่อสร้างพัฒนาวัดเขาสุกิมจนเจริญรุ่งเรืองมาตราบเท่าทุกวันนี้ ท่านยังได้พัฒนาสถานที่ภายนอกวัดอีกมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงเรียน ทุนการศึกษา การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร ฯลฯ ทั้งในจังหวัดจันทบุรีและที่จังหวัดอื่นๆ อีกมากมาย
..........วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ ด้วยเนื้อที่ ๓ ๒๘๐ ไร่ ด้วยแรงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา เป็นวัดที่สวยงามมีศาสนสมบัติ โบราณวัตถุต่างๆ ที่สะสมมาจากประชาชนที่นำมาบริจาคและรวบรวมให้สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำวัด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.lucksiam.com/